วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ลดน้ำหนักด้วยมะนาว "ลดความอ้วน"

วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำบทความลดน้ำหนักด้วยมะนาวหรือเรียกอีกในหนึ่งว่า ลดความอ้วนด้วยมะนาว นั่นเองค่ะ นำมาฝากคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชที่กำลังมองหาวิธีลดความอ้วน วิธีลดน้ำหนักกันอยู่ค่ะ สำหรับบทความ ลดน้ำหนักด้วยมะนาว หรือ ลดความอ้วนด้วยมะนาว นั้น เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับลดความอ้วนที่จะช่วยให้คุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชได้มีหุ่นสวยกันอีกเช่นเคยค่ะ เพราะจะกล่าวไปแล้วว่า ในสรรพคุณและคุณประโยชน์ของมะนาวนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยในการลดความอ้วนและลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชห้ามพลาดกับเคล็ดลับ ลดน้ำหนักด้วยมะนาว หรือ ลดความอ้วนด้วยมะนาว ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากันเด็ดขาดเลยนะค่ะ เพราะหากว่าคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชสามารถทำตามเคล็ดลับ วิธีลดน้ำหนักด้วยมะนาว หรือ วิธีลดความอ้วนด้วยมะนาว ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากคุณผู้หญิงชาวเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอชอาจจะลดน้ำหนักลดความอ้วนได้ดั่งใจก็เป็นได้ค่ะ








3 เคล็ดลับ ลดน้ำหนักด้วยมะนาว ลดความอ้วนด้วยมะนาว

1. ดื่มน้ำมะนาวกับน้ำอุ่นทุกๆ เช้า

เพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานดียิ่งขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุดไม่เพียงแต่จะดีสำหรับช่วยลดไข้ได้แต่มันยังมีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาแนะนำมาว่า ใครที่กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีในปริมาณที่มากจะมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและจะช่วยให้น้ำหนักลดได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมัน ผลวิจัยยังแสดงอีกว่า แคลเซียมที่มีอยู่ในเซลล์ไขมันปริมาณมากๆ จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น


2. รับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ชนิด

เพราะผักและผลไม้ทุกประเภทจะมีปริมาณแคลอรีที่น้อยมาก แต่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เส้นใย และสารอาหารที่ครบครันจะช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายช่วยให้ระบบประสาททำงานอย่างสงบลง


3. ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด

โดยการบีบน้ำมะนาวลงไปในมื้ออาหารทุกมื้อหรือผสมเปลือกมะนาวลงไปในซุปหรือสลัดและบีบมะนาวเพียงเล็กน้อยโปรยลงบนเนื้อปลาและเนื้อไก่ก่อนรับประทาน แล้วจะรู้ว่ามะนาวคือเส้นใยที่มหัศจรรย์ที่สุดเพราะมะนาวจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้นอีกทั้งยังช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วย นอกจากนี้ผลการศึกษาของวิทยาลัย Journal of the America College of Nutrition รายงานว่า คาร์โบไฮเดรตที่พบในผิวเปลือกของมะนาวจะสามารถกำจัดความอยากกินให้ลดลงได้ถึง 4 ชั่วโมง เปลือกมะนาวเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่ดีที่สุดช่วยให้ระบบย่อยอาหารสามารถดูดซึมน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น หลังจากที่คุณกินมันคุณจะรู้สึกอิ่มไปอีกนานเลยทีเดียว




ที่มา:http://www.n3k.in.th/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การเลือกเนื้อหมู "ให้เหมาะกับการปรุงอาหาร

การเลือกเนื้อหมูให้เหมาะกับการปรุงอาหารก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้การปรุงอาหารเลยนะค่ะ เพราะว่า การเลือกเนื้อหมู ที่เหมาะกับอาหารปรุงจะช่วยให้รสชาติในการปรุงอาหารหรือการทำอาหารของคุณดีขึ้นค่ะ ฉะนั้นลองมาทำการเลือกเนื้อหมูให้เหมาะกับการปรุงอาหารกันดีกว่านะค่ะ และวันนี้เองเราก็มีเคล็ดลับการเลือกเนื้อหมูให้เหมาะกับการปรุงอาหารมาฝากด้วยค่ะ ถ้าอยากรู้กันแล้วก็มาดูกันเลยดีกว่าค่ะ







เคล็ดลับ การเลือกเนื้อหมู "ให้เหมาะกับการปรุงอาหาร"


- เนื้อหมูสามชั้น คือ เนื้อหมูที่มีชั้นเนื้อสลับกับมันหมูและติดหนังเป็นเนื้อส่วนที่นุ่มมาก เหมาะกับการนำไปประกอบอาหาร ต้ม แกง ทอดกรอบ อบ เป็นต้น

- เนื้อหมูสันใน คือ เนื้อหมูไม่ติดมันมีลักษณะเป็นเส้น ๆ เป็นเนื้อส่วนที่นุ่มมากที่สุด เหมาะกับการนำไปประกอบอาหาร ปิ้ง ย่าง อบ จะให้รสชาติดี

- เนื้อหมูสะโพก คือ เนื้อหมูติดมันเล็กน้อยแต่ส่วนเนื้อจะมากกว่า เป็นเนื้อส่วนที่นุ่มระดับปานกลาง เหมาะกับการนำไปประกอบอาหาร ผัด ทอด แกง ต้ม เป็นต้น

- เนื้อหมูสันนอก คือ เนื้อส่วนกล้ามเนื้อซึ่งจะมีไขมันหมูแทรกและมีติดมันหมูเล็กน้อย เป็นเนื้อส่วนที่นุ่มระดับปานกลาง เหมาะกับการนำไปประกอบอาหาร สเต็กหมู หมูอบ หมูลมควัน เป็นต้น





ที่มา : http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9

แต่งหน้าเฉี่ยวๆ "พร้อมคลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ"


มาแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ไปพร้อมเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันดีกว่าค่ะ เพราะวันนี้ใครโฉบใครเฉี่ยวถือว่าเป็นความงามที่เป็นต่อเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยอยากจะเชิญชวนคุณผู้หญิงมา แต่งหน้าเฉี่ยวๆ ไปพร้อมๆ กับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันวันนี้นะซิจ๊ะ และคุณผู้หญิงพร้อมแล้วรึยังค่ะที่จะมา แต่งหน้าเฉี่ยวๆ ในครั้งนี้กัน ขอบอกเอาไว้เลยนะค่ะว่า การแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ในวันนี้เป็นสไตล์การแต่งหน้าแบบสาวเกาหลีกันอีกเช่นเคย และแน่นอนว่าเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็ยังมาพร้อมคลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ซึ่งคุณผู้หญิงก็จะได้เรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ขั้นตอนการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ แล้วการแต่งหน้าของคุณก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปค่ะ คุณผู้หญิงพร้อมที่จะเรียนการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ กันแล้วรึยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาดูการสอนแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ไปพร้อมกับคลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ กันเลยดีกว่าค่ะ





คลิปวีดีโอสอน แต่งหน้าเฉี่ยวๆ








  
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะกับวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากและนำมาให้เรียนรู้กันในวันนี้ คุณผู้หญิงที่ชอบสไตล์ความโฉบเฉี่ยวในการแต่งหน้าก็ห้ามพลาดกับกับวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากันก็แล้วกันนะค่ะ ครั้งหน้าเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะนำคลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ สไตล์ใดมาแนะนำกันอีกก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะจ๊ะ แต่วันนี้หวังว่าคุณผู้หญิงจะสนุกกับคลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ ที่นำมาฝากกันในวันนี้ รวมถึงหวังว่า คลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ นี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้หญิงที่ทั้งกำลังมองหาเทรนด์แต่งหน้าเกาหลีแบบใหม่ๆ และคุณผู้หญิงที่กำลังฝึกหัดแต่งหน้ากันอยู่ด้วยนะค่ะ แม้ไม่มีคำแปลในคลิปวีดีโอสอนวิธีการแต่งหน้าเฉี่ยวๆ นี้แต่ก็เชื่อว่า คุณผู้หญิงทุกคนนั้นมีพรสวรรค์ด้านการแต่งหน้ากันอยู่แล้วคงไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะในการฝึกฝน




ที่มา: http://www.n3k.in.th/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%86

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อยากรู้ไหม " กางเกงขาสั้น " ใส่แบบไหนให้ดูดีที่สุด คุณก็สวยได้

ปัจจุบันกางเกงขาสั้นได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแฟชั่นการแต่งตัวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในบ้านเราและทั่วเอเชีย สังเกตได้จากพฤติกรรมของเหล่าบรรดาดารานักแสดงที่มักนิยมใส่กางเกงขาสั้นออกงานกันมากขึ้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วเมื่อ 5 - 10 ปีก่อนเรื่องพวกนี้อาจจะดูไม่เหมาะสมเท่าไรนัก แต่ปัจจุบันกลับเป็นที่นิยมและยอมรับของสังคมโดยไม่จำเป็นว่า กางเกงขาสั้น สามารถใส่ได้แต่ในบ้านอีกต่อไป







เทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกซื้อกางเกงขาสั้น

  • อย่าพยายามเลือกซื้อการเกงขาสั้นที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของเรามาก ไม่ควรเผื่อขนาดหรือไซส์ของกางเกงเยอะเกินไป ควรเลือกที่พอดีตัวที่สุด เพราะการเลือกกางเกงขาสั้นที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเรามาก ๆ นั้น จะทำให้เวลานั่งและเดินไม่สะดวก และแทนที่จะดูสวยกลับดูโป๊เพราะกางเกงขาสั้นที่หลวมเวลานั่งหรือลุกจะมีพื้นเหลือมากพอที่จะทำให้สายตาของใครต่อใครมองเขาไปเห็นในสิ่งที่เราไม่อยากให้เห็นได้นะค่ะ
  • กางเกงขาสั้นแบบรัดรูป หรือ แบบผ้ายืด สาว ๆ ที่มีรูปร่างอ้วนควรหลีกเลี่ยง เพราะเวลาที่คุณใส่นั้นจะทำให้เห็นชั้นเนื้อได้ชัด คุณอาจจะเปลี่ยนไปเลือกใส่กางเกงขาสั้นที่เป็นผ้ายีนส์ หรือ ผ้าที่มี เนื้อแข็งจะดีกว่านะค่ะ
  • ผู้หญิงที่มีสะโพกและต้นขาที่ใหญ่ ควรเลือกกางเกงเอวต่ำแบบพอดีตัวอย่าพยายามเลือกกางเกงทรงหลวมขนาดใหญ่ เพราะจะทำให้คุณดูอ้วนและใหญ่เทอะทะ กางเกงขาสั้นความยาวระดับเข่าจะช่วยอำพรางต้นขาที่ใหญ่ได้ดี
  • ผู้หญิงที่รูปร่างเล็ก คุณอาจจะไม่มีปัญหาในการเลือกซื้อหรือเลือกใส่เสื้อผ้าเท่าไรนัก แต่ถ้าคุณอยากใส่กางเกงขาสั้นให้สวยที่สุดละก็ คุณก็ต้องหากางเกงขาสั้นขนาดพอดีตัวสั้นมาก ๆ หน่อย มันจะทำให้คุณดูมีเรียวขาที่ยาวขึ้น อย่าใส่กางเกงขาสั้นที่มีระบายหรือมีลักษณะรุงรัง เพราะจะทำให้เรียวขาสวย ๆ ของคุณถูกกลืนหายไป
  • ผู้หญิงที่มีรูปร่างพอดีตัว จริง ๆ แล้วคุณใส่กางเกงขาสั้นแบบไหนก็ได้ แต่ถ้าอยากดูดีแบบสุด ๆ คุณอาจจะเลือกกางเกงขาสั้นที่ขากางเกงสอบไปตามเรียวขา และปลายกางเกงบานออกเล็กน้อยจะช่วยให้คุณดูเพรียวบางมากขึ้นค่ะ
  • ผู้หญิงที่ขาเล็กมาก ถ้าคุณต้องการให้เรียวขาของคุณใหญ่ขึ้น คุณอาจจะเลือกกางเกงขาสั้นยาวระดับเข่าที่เป็นทรงกระบอกตรง ๆ เพราะจะช่วยให้ต้นขาคุณใหญ่และได้รูปมากขึ้นค่ะ


กางเกงขาสั้นแบบไหน เหมาะกับใคร

  • กางเกงขาสั้นเอวสูง สามารถช่วยให้ผู้หญิงที่มีหน้าท้องปิดบังซ่อนรูปร่างบางส่วนได้ และกางเกงขาสั้นแบบเอวสูงยังช่วยให้คุณผู้หญิงดูสูงโปร่งและขาเรียวยาวขึ้นอีกด้วย
  • กางเกงขาสั้นเอวสูงระดับกลาง (กางเกงขาสั้นขนาดแบบปกติ) เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเน้นสัดส่วน ส่วนหว้าส่วนโค้ง ว่าตรงไหนคือเอว ตรงไหนคือสะโพก สำหรับผู้หญิงรูปร่างตรง ๆ หรือไม้กระดานจะเหมาะกับกางเกงแบบนี้เป็นพิเศษ
  • กางเกงขาสั้นเอวต่ำ ที่จริงแล้วกางเกงขาสั้นเอวต่ำนั้นเป็นที่นิยมของผู้หญิงอย่างมาก แต่ถ้าจะใส่ให้สวยเซ็กซี่ที่สุดจะเหมาะกับผู้หญิงที่สูงมากกว่า 165 ซม. ขึ้นไป สำหรับผู้หญิงที่ตัวเล็กการสั้นกางเกงขาสั้นเอวต่ำจะทำให้คุณดูเหมือนเด็กเล็กน่ารัก ๆ มากกว่า


ความรู้เพิ่มเติ่มกับกางเกงขาสั้น

  • การที่คุณใส่รองเท้าส้นสูงแบบเข็ม กับกางเกงขาสั้นจะช่วยให้คุณดูเซ็กซี่มากขึ้น
  • การใส่กางเกงขาสั้นเอวสูงระดับกลางและเอาเสื้อเอาไว้ด้านในจะช่วยเน้นสัดส่วนและรูปร่างของคุณให้เด่นชัดมากขึ้นเป็นพิเศษ
  • การใส่กางเกงขาสั้นแบบลายหมากรุกจะช่วยให้สะโพกดูเล็กลงได้ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นลายดอกขนาดใหญ่กลับทำให้ดูใหญ่ขึ้น
  • กางเกงขาสั้นแบบพับปลาย ช่วยให้ใส่สบายและเหมาะกับผู้หญิงที่มีรูปร่างใหญ่เป็นพิเศษ


ที่มา:http://www.n3k.in.th/%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทริค! ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ให้มีเสน่ห์


วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีทริค! ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ให้มีเสน่ห์มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายกันด้วยค่ะ เสน่ห์ของผู้หญิงการแต่งหน้าก็มีส่วนสำคัญมิใช่น้อยที่จะทำให้ผู้หญิงอย่างเรานั้นดูดีและเปล่งประกายได้อย่างเหลือเชื่อ ฉะนั้นแล้ว ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากกันในวันนี้จะช่วยเติมเต็มให้คุณผู้หญิงมีเสน่ห์น่าหลงไหลมากยิ่งขึ้นค่ะ เสน่ห์ของหญิงสาวไม่ไปไหนไกลเมื่อคุณผู้หญิงได้ ทริค! ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ให้มีเสน่ห์ ที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากกันให้ลองใช้กันในวันนี้ค่ะ เอาเป็นว่าคุณผู้หญิงพร้อมแปลงโฉมให้เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นกันแล้วรึยังจ๊ะ ถ้าพร้อมแล้วมาพบกับ ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ให้มีเสน่ห์กันเลยดีกว่าค่ะ แล้วคุณผู้หญิงจะได้เห็นความงดงามในตัวตนของคุณมากยิ่งขึ้นด้วย ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ให้มีเสน่ห์นี้ค่ะ




10 ขั้นตอนการแต่งหน้าสวย ให้มีเสน่ห์

1. เตรียมผิวหน้า

ใ้ห้พร้อมด้วยการลงเบสให้กับผิวหน้า

2. ลงรองพื้นสีขาวอมชมพู

ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนใส เลือกที่มีส่วนผสมของSPF จะช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดได้ด้วยนะค่ะ

3. จากนั้นใช้แปรงขนาดใหญ่

ปัดด้วยแป้งผุ่นเพื่อช่วยซับความมันส่วนเกิน ผิวดูเรียบขาวอมชมพู

4. ซับด้วยแป้งผสมรองพื้น

ให้ทั่วใบหน้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อผิวเรียบเนียนตลอดวัน จะเป็นแบบฝุ่นหรืออัดแข็งก็ได้ค่ะ

5. กันคิ้ว

ให้ได้รูปตามโครงหน้าก่อน จากนั้นเขียนคิ้วให้ได้รูป ดูเป็นธรรมชาติ เน้นหางคิ้วให้เข้มกว่าหัวคิ้ว

6. ลงเบสรองพื้น

ให้ทั่วเปลือกตาเพื่อให้อายแชโดว์ติดทนนานและยังช่วยให้เปลือกตาดูเป็นประกายแบบ Shimmer

7. ใช้อายแชโดว์

เนื้อฝุ่นเฉดสีเขียวอมฟ้าทาเปลือกตาตรงช่วงรอยพับและเน้นตรงช่วงหางตาให้เข้มกว่าหัวตาอีกครั้ง

8. กรีดอายไลเนอร์สีดำ

เพื่อให้ดวงตาดูเข้มและหวานมากขึ้น

9. ดวงตาสวยน่ามอง

ด้วยการเน้นขนตา ใช้มาสคาร่าสีดำปัดให้เป็นเส้น ๆ ไม่จับเป็นก้อน

10. พวงแก้มเปล่งปลั่ง

ด้วยบลัชออนที่มีส่วนผสมของชิมเมอร์หรือกลิตเตอร์ให้พวงแก้มดูขาวเนียนอมชมพูเปล่งประกาย

ขอขอบคุณข้อมูลการดูแลผิวสวยผิวขาวจาก hair&beauty ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต


ที่มา: http://www.n3k.in.th/%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2

วิธีการเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว "เพื่อผิวสวย สะอาดหมดจด"

วันนี้เรามีวิธีการเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิวมาฝากคุณผู้หญิงกันค่ะ เพราะเรารู้ดีว่าในปัจจุบันนี้มีการผลิตสบู่ออกมากมายหลากหลายแบบหลากหลายยี่ห้อซึ่งทำให้การเลือกสบู่ของคุณผู้หญิงหลายๆ คนอาจจะกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเพราะไม่รู้จะใช้สบู่อะไรดี นั้นลองมาใช้ วิธีการเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว กันดีไหมค่ะ นอกจากจะดีต่อผิวพรรณของคุณแล้ว วิธีการเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว ยังจะช่วยให้สบู่ที่คุณใช้เกิดประสิทธิภาพที่ดีกับผิวอย่างสูงสุดอีกด้วยค่ะ เพราะถึงอย่างไรคุณก็เลือกสบู่เพียงเพราะความสะอาดที่หมดจดอยู่แล้ว แต่ถ้ารู้ วิธีการเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว จะได้เกิดประสิทธิที่ดียิ่งขึ้นค่ะ คุณผู้หญิงทุกคนจะได้มีผิวพรรณที่สวยใสและเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วยยังไงล่ะค่ะ





วิธีการเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว


การเลือกสบู่ที่ดีนั้น อย่างแรกควรดูที่ค่าความเป็นกรดด่างของสบู่หรือที่เรียกว่า ค่า pH โดยถ้ามีค่า 0-14 แสดงว่า มีความเป็นกรด แต่ถ้าตัวเลขค่า pH มากกว่านี้จะมีความเป็นด่าง โดยค่า pH ของผิวคนเราจะอยู่ 4.5-5.5 สบู่ที่มีค่าความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมกับผิว ถึงแม้ว่าปัจจุบันสบู่จะมีออกมาจำหน่ายมากมายหลายยี่ห้อแต่จุดประสงค์หลักที่เหมือนกันก็คือ ทำความสะอาดผิวให้ปลอดจากเชื้อโรคและมีส่วนประกอบหลักคล้ายกันไม่ว่าจะเป็นไขมัน หรือสารพื้นฐานที่สามารถนำไปดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ แต่บางยี่ห้ออาจเติมสารให้ความชุ่มชื่นเพิ่มลงไป บางยี่ห้อก็เติมสารให้ความหอม เป็นต้น

การเลือกสบู่ให้เหมาะกับสภาพผิวนั้น


- สำหรับสาวผิวแห้ง ควรเลือกสบู่ที่มีไขมันสูง หรือครีม รวมถึงสบู่ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ อะโวคาโด หรือน้ำมันจากพืช ก็ถือว่าดีมากกับสาวผิวแห้งค่ะ 

- สำหรับคนผิวมัน ควรเลือกสบู่ที่ช่วยต้านเชื้อโรคหรือที่มีส่วนผสมของลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ และไทม์ ส่วนสบู่ยา จะมีสรรพคุณในการช่วยป้องกันและรักษาการติดเชื้อของผิวหนังและระงับกลิ่นตัวด้วย


ทีนี้ก็คงรู้แล้วนะคะว่าควรจะเลือกสบู่แบบไหนให้เหมาะกับผิว เพื่อการทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพ และมีผิวที่สุขภาพดีค่ะ 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก woman's story ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต


ที่มา :http://www.n3k.in.th/%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7

สูตรพอกหน้าธรรมชาติ "ด้วย" ฟักทอง

สาว ๆ หลายคนอาจะไม่เคได้ยินสูตรพอกหน้าธรรมชาติด้วยฟักทองกันซิค่ะ และคุณก็อาจจะ ำกำลังสงสัยใช่ไหมล่ะค่ะว่า ฟักทอง นะเหรอจะช่วยผิวหน้าของคุณให้ดูดีได้ แต่ห้ามมองข้ามเด็ดขาดค่ะเพราะในฟักทองนั้นอุดมไปด้วยสารและวิตามินหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณของคุณอย่างมากค่ะ อย่ารอช้ามาเริ่ม สูตรพอกหน้าธรรมชาติ กันเถอะค่ะ





สูตรพอกหน้าธรรมชาติ


ส่วนผสม ได้แก่ ฟักทองสุกบด 2 ช้อนชา, น้ำผึ้ง 1/2 ช้อนชา, นมสด หรือนมถั่วเหลือง 1/4 ช้อนชา จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดผสมคลุกเคล้าให้เนื้อเข้ากัน เสร็จแล้วนำมาพอกทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้แห้งแล้วทามอยส์เจอร์ไรเซอร์หรือครีมที่เหมาะกับสภาพผิวปิดท้าย

เพียงแค่นี้คุณก็ได้มีผิวสวยเนียนใสได้โดยไม่ต้องไปสปาแล้วล่ะจ้า


ที่มา:  http://www.n3k.in.th/%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4 


"สครับขัดผิวทำเอง" ก็สวยได้!



สครับขัดผิวทำเองก็สวยได้นะค่ะ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จึงอยากชวนคุณผู้หญิงมาทำการ สครับขัดผิวทำเอง กันค่ะ ซึ่งหลักการ สครับขัดผิวทำเอง นี้ก็มีหลักการอยู่ง่ายๆ ฉะนั้นในวันหยุดดีๆ แบบนี้ก็อย่าลืมลองมา สครับขัดผิวทำเอง กันดีกว่าค่ะ เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) อยากจะบอกว่า ในการสครับขัดผิวทำเองนั้นจะช่วยให้คุณผู้หญิงมีผิวสวยๆ และมีผิวพรรณที่สดใสมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ คุณผู้หญิงพร้อมจะมา สครับขัดผิวทำเอง กันแล้วรึยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มา สครับขัดผิวทำเอง ไปพร้อมกับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยนะค่ะ เพื่อผิวพรรณที่สวยงามและสดใสมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยค่ะ



สครับขัดผิวทำเอง

สครับ คือ

การขัดขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและกระตุ้นระบบไหลเวียนของทั้งเลือดและน้ำเหลืองค่ะ คุณๆ ที่เคยไปใช้บริการแล้วติดใจหรือบางคนไม่สะดวกไปสปา วันหยุดคราวนี้มาทดลองทำสครับที่บ้านกันดีกว่า


หลักคิดของการทำสครับ

1. ต้องรู้ก่อนว่า โดยเฉลี่ยร่างกายของเรามีการผลัดเซลล์ผิวทุก 28 วัน ฉะนั้นการขัดผิวเดือนละ 2 ครั้ง เป็นความถี่ที่กำลังดี
2. ผิวหน้ากับผิวกายมีความละเอียดต่างกันจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน ผลิตภัณฑ์สำหรับหน้าต้องมีความละเอียดเป็นพิเศษ ส่วนผสมช่วยขัดไม่มีเหลี่ยมคม ไม่ใส่น้ำหอม
3. เวลาขัดตัวใช้ 4 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย หรือฝ่ามือขัดลงน้ำหนักได้เต็มที่ ในขณะที่ขัดผิวหน้าควรใช้เพียงนิ้วกลางกับนิ้วนางเท่านั้น ที่สำคัญต้องนุ่มนวล เบามืออย่างที่สุด
4. คนที่ผิวแห้งไม่ควรเลือกสครับที่มีส่วนผสมของพืชผักผลไม้ที่มีความเป็นกรดสูง ในขณะที่คนผิวมันควรเลี่ยงส่วนผสมที่มีน้ำมันมากเกินไป




สครับทำจากอะไรได้บ้าง

ถ้าเราอยากจะทำสครับใช้เองสดๆ ที่บ้าน ลองหาความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทยเลือกพืชที่มีสรรพคุณตามที่เราต้องการหรือหาข้อมูลจากสครับที่เขาทำขายก็ได้ ถ้าไม่อยากหาส่วนผสมหลายชนิดให้ยุ่งยากก็ดูผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือ มีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการของเรา

1. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซีซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิเดนซ์สูง แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง
2. ส้มเช้ง มีคุณสมบัติคล้าย 2 ชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรด
3. ใยบวบ มีความสาก ขัดผิวได้ดี
4. มะละกอ วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก
5. มะนาว เป็นกรด ช่วยให้ผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้า นุ่มขึ้น
6. แตงกวา ช่วยให้ผิวสดชื่น
7. มะพร้าวขูด มีน้ำมันช่วยบำรุงผิว

ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียก ก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกชนิดที่มีผิวสัมผัสนุ่มนวลอย่างมะละกอ ก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย


วิธีเลือก bead ในการขัดหรือขจัดเซลล์ผิว

บีดช่วยเพิ่มความสากในสครับของเรา ทำให้สามารถขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือน และมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น

1. เกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว

2. ข้าวสาร ช่วยให้ผิวขาว
3. น้ำตาลทราย มีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง
4. งา เนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง
5. กาแฟ กระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ

อย่างไรก็ตาม เกลือ น้ำตาล ข้าวสาร มีเหลี่ยม มีความคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อน นอกจากนี้อาจเพิ่มน้ำมันลงไป เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานด้วย

น้ำมันช่วยหล่อลื่น

สำหรับน้ำมันที่ใช้เป็นตัวหลักสามารถเลือกใช้ได้หลายชนิด เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันมะพร้าว จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและช่วยเป็นตัวลดความเข้มขนของกรดสำหรับคนผิวแห้ง รวมทั้งช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

นอกจากนี้อาจเพิ่ม นม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิวได้ด้วย แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้สะดวกแก่การขัด




ที่มา: http://www.n3k.in.th/%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2/%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87

สูตร อาหารลดน้ำหนัก "กินแล้วผอม"


อาหารลดน้ำหนักมีอะไรบ้างน๊า...เชื่อว่าคนอยากผอมทุกคนต้องอยากรู้แน่ ๆ เลยจริงไหมค่ะ และยิ่งเป็นคุณผู้หญิงที่กลัวอ้วนด้วยแล้วคงจะยิ่งอยากรู้เลยว่า อาหารลดน้ำหนัก นั้นมีอะไรบ้าง วันนี้เอาใจคนอยากผอมด้วย อาหารลดน้ำหนัก ที่จะช่วยให้คุณได้ผอมสมใจไม่ใช่แค่กินแล้วผอมนะแต่ยังสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ อยากหุ่นดี หุ่นสวย ด้วยการกินต้องมาลอง สูตรอาหารลดน้ำหนัก ของเราให้ได้นะจ๊ะ แล้วคุณจะมีหุ่นสวยอวดใคร ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ




อาหารลดน้ำหนัก


- พริก


ไม่ว่าจะเป็นพริกฝรั่ง พริกไทย พริกหยวก พริกชี้ฟ้า สารพักตระกูลพริก จะมีสารเผ็ดร้อน เรียกว่า แคปไซซิน ช่วยเพิ่มความร้อนให้กับร่างกายเผาผลาญไขมัน ใครที่สามารถกินเผ็ดได้ก็ลองเพิ่มพริกสดหรือใช้พริกเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารได้ตามใจชอบ


- หน่อไม้ฝรั่ง หรือ เอสพารากัส


จะมีกรดแอสพาราจีนช่วยในการขับน้ำออกจากร่างกายแต่ไม่มีคุณสมบัติในการเผาผลาญไขมันโดยตรง ใช้รับประทานเป็นผักสลัดหรือใช้ในการประกอบอาหารในแต่ละมื้อได้ดี มีรสชาติอร่อย กินบ่อย ๆ รับรองหุ่นดี สบายใจได้


- สาหร่าย


จะมีคุณสมบัติในการขับน้ำที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกายรวมถึงของเสียในร่างกายทำให้รู้สึกไม่อึดอัดและกระฉับกระเฉง ใครที่ไม่ชอบรับประทานสาหร่ายคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ มีหลากหลายเมนูที่เรานำเอาสาหร่ายมาประกอบแล้วอร่อยด้วยได้ประโยชน์ด้วย




- เครื่องดื่มประเภทชาเขียว


ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยไฟร์บวร์กประเทศเยอรมนีระบุว่า การดื่มชาเชียววันละ 4 แก้ว จะสามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้และมีผลดีต่อสุขภาพ แต่ทั้งนี้ต้องเป็นชาเขียวที่ไม่ใส่น้ำตาลเท่านั้น


- กาแฟ


จะมีสารคาเฟอีนช่วยกระตุ้นเอนไซม์ซึ่งทำหน้าที่เผาผลาญไขมัน การดื่มกาแฟจะให้ผลดีเมื่อดื่มเพียง 1 แก้วในตอนเช้า และอีก 1 แก้ว ตอนหลังเที่ยง


- ไวน์แดง


การดื่มในปริมาณที่พอเหมาะจะมีสารบางอย่างที่ไปช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันในร่างกาย แต่ไม่ควรดื่มมากจนเกินไปเพราะไวน์แดง 1 แก้ว ให้พลังงานถึง 72 แคลลอรี่ ทีเดียว

แต่ทั้งหมดนี้ถ้าให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปได้ด้วยดี แค่การรับประทางเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต้องอาศัยการออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจะเป็นผลดีที่สุดแค่นี้หุ่นสวยสุขภาพดีคงไม่ไกลเกินความพยายาม

TIP


ความเชื่อที่ว่า การดื่มน้ำในขณะรับประทานอาหารทำให้เกิดโทษนั้นไม่เป็นความจริง เพราะน้ำย่อยที่จางลงมีน้ำปนอยู่ด้วยนั้นสามารถย่อยได้ดีเท่า ๆ กับน้ำย่อยที่ไม่มีน้ำปนอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นแม้จะดื่มน้ำมากในขณะรับประทานอาหารถ้าเคี้ยวอาหารให้ละเอียดพอสมควรแล้วก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียอะไรแต่กลับจะช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำไป




ที่มา : http://www.n3k.in.th/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81

แครอท

ผัก แครอท

แครอทหรืออีกอย่างที่คุณแม่บ้านชอบใช้นั่นก็คือ ผักแครอท ค่ะ นอกจาก แครอท จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับอาหารแล้ว แครอท ยังเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยารักษาโรคอีกด้วยค่ะและส่วนของแครอทที่นำไปใช้เป็นยาก็คือส่วนหัวค่ะ นั้นไม่รอช้าคงจะอยากรู้สรรพคุณและ ประโยชน์ของแครอท กันแล้วใช่ไหมค่ะว่ามีอะไรกันบ้างเอ่ย มาดูกันเลยค่ะ




สรรพคุณ / ประโยชน์ แครอท


- หัวแครอท 
จะเป็นสีส้มเพราะมีสาร carotene มีเป็นจำนวนมาก เมื่อเรากินสาร carotene นี้เข้าไปในร่างกายสารชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นไวตามินเอซึ่งมีประโยชน์ต่อสายตาสำหรับผู้ที่เป็นโรคตาฟาง น้ำที่คั้นจากหัวแครอทใช้ผสมกับน้ำมะนาวให้ใช้ทาตามบริเวณผิวหน้าเป็นยาบำรุงผิวลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นอกจากนี้แล้วหัวแครอทยังให้ปริมาณของเกลือโปแตสเซี่ยมสูงซึ่งทำให้มีฤทธิ์ในทางขับปัสสาวะส่วนน้ำมันหอมระเหยททีมีอยู่ในหัวแครอทจะมีฤทธิ์ในทางขับพยาธิไส้เดือนได้



ประโยชน์ และ สรรพคุณของดอกกะหล่ำ (กะหล่ำดอก)

ดอกกะหล่ำ หรือ กะหล่ำดอก ซึ่งก็คือ พืชผักสมุนไพรชนิดเดียวกันเพียงแต่เรียกสลับกันเท่านนั้นเองไม่มีชื่อตายตัวแล้วแต่จะเรียก จะเรียกว่า ดอกกะหล่ำ หรือ กะหล่ำดอก ก็ไม่ว่ากันค่ะ แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์และสรรพคุณของดอกกะหล่ำกันค่ะ เป็นรู้กันดีในดอกกะหล่ำว่ารสชาติเนี่ยอร่อยไม่แพ้ผักชนิดไหน ๆ แถมสีสันก็ยังน่ารับประทานอีกด้วย แต่คุณรู้ถึง สรรพคุณของดอกกะหล่ำ กันหรือไม่ค่ะ ถ้ายังไม่รู้วันนี้เราก็จะมาบอกให้คุณได้รู้ค่ะเชื่อว่าคุณผู้หญิงหลาย ๆ คนได้รู้ถึง สรรพคุณของดอกกะหล่ำ ต้องหันมาบริโภคกันอย่างหนักแน่นอนเลยค่ะ นั้นเรามาดู ประโยชน์ของดอกกะหล่ำ และ สรรพคุณของดอกกะหล่ำ กันเลยค่ะ








ประโยชน์ / สรรพคุณของดอกกะหล่ำ (กะหล่ำดอก)


ใช้กินเป็นผักมีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็ง (carcinogen) ออกจากเซล คือ สารซัลโฟราเฟน ทำให้มีการผลิตเอมไซม์-phase II มากขึ้น ซึ่งสามารถไปลดการผลิตเอ็มไซม์-phase I ที่เป็นอันตราย เพราะเอ็มไซม์ชนิดแรกนี้สามารถไปทำอันตรายต่อสารพันธุกรรมภายในเซล พืชในวงศ์นี้รวมไปถึง บร็อคโคลี คะน้า และกะหล่ำต่าง ๆ 

สารประกอบที่พบในดอกกระหล่ำนี้สามารถต้านอนุมูลอิสสระได้ดี

- สารโพแตสเซี่ยมสูงซึ่งช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและความดันโลหิต สารต้านอนุมูลอิสระสูง ต้านการเกิดมะเร็ง
- สารซัลโฟเรเฟน ช่วยเพิ่มปริมาณเอ็มไซม์ที่เป็นหลักในการต่อสู้กับเซลมะเร็งได้ดีมาก ควรกินเป็นประจำจะสามารถช่วยป้องกัน มะเร็งเต้านม และ มะเร็งสำไส้ใหญ่ได้ดี
- กรดโฟลิค ช่วยป้องกัน มะเร็งลำไส้ และ มะเร็งเานม
- สารอินโตลส์ คาดว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งบางชนิดได้ดี
- สารอินโดล-3 คาร์ฝึบินอล ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม คั้นเอาแต่น้ำอมช่วยรักษาแผลในปาก กลั้วคอแก้คออักเสบ
- น้ำผักสด ช่วยรักษาแผลเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง หอบหือ (ไม่ควรปรุงให้สุกเกินไปเพราะความร้อนจะไปทำลายคุณสมบัติทางยาได้)



ที่มา : http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B3

ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย! สมุนไพร ผัก ผลไม้

วันนี้นเราจะพาคุณมาล้างพิษในลำไส้ด้วยการดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย สมุนไพร ผัก ผลไม้ ต่อไปนี้ที่เรากำลังจะแนะนำค่ะ สมุนไพรไทยที่เป็น ผัก ผลไม้ สามารถช่วย ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ได้มากมาย และไม่เพียงเท่านั้นยังมี ผัก ผลไม้ ของต่างประเทศที่จะมาช่วยคุณในการดีท็อกซ์ ล้างพิษ กันอีด้วย ผักและผลไม้ต่างๆ จัดว่าเป็นอาหารที่วิเศษกันอยู่แล้วนอกจากจะมีประโยชน์ มีกากใยและสารอาหารที่มากโขน อกจากนั้นยังเป็นอาหารดีท็อกซ์ ล้างพิษ ชั้นดีเยี่ยมยอดอีกด้วย ฮัน...แน่...คงอยากจะรู้กันแล้วใช่ไหมค่ะว่าจะมี สมุนไพร ผัก ผลไม้ชนิดใดกันบ้างที่จะมาช่วยในการดีท็อกซ์ ล้างพิษ อย่างได้ผลใช่ไหมล่ะค่ะ นั้นเราไม่รอช้ามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ อ๋อ...เคล็ดลับในการล้างสารพิษ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร) ถึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด



ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย 10 สมุนไพร ผัก ผลไม้

1. หน่อไม้ฝรั่ง

นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่มราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายในช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำโดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน


2. บีทรูท

เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด


3. เบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมากนำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้


4. บร็อกโคลี

มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็งเนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่าหรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัดหรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง




5. กะหล่ำปลี

กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัดหรือนำไปผัดหรือนำไปต้มและผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก


6. มะนาว (lemons)

สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูงจึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อนดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุตดื่มเพิ่มความสดชื่น


7. ลินสีด (Linseed) หรือ เมล็ดแฟล็กซ์

นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบดแล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด


8. พริก

อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริก และ มะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดีและช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิดเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย


9. มะละกอ และสับปะรด

มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีนและกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะนำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้นๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวานหรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาวทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง


10 ผักสลัดน้ำ หรือ วอเตอร์เครส

เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครส เป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดีท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูงจึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอมหรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health Plus ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ที่่มาhttp://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9-%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89:

"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพ.


อีกหนึ่งเกร็ดดีๆ ที่หลายๆ คนควรให้ความสนใจกับผักรสขม เขาว่ากันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา คำโบราณที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่มักจะร้องยี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่ จะมีสักกี่คนค่ะที่รู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขม ที่หลายๆ คนร้องยี้นี้แหละค่ะที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเอ่ยถึง ผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ ฯลฯ แต่เชื่อไหมค่ะว่า ผักรสขม สามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วยน๊า... งั้นวันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมกันเลยดีกว่านะค่ะ ถ้าเห็นประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมแล้วก็อย่างลืมจัดไว้ในมื้ออาหารของคุณด้วยนะค่ะ ยังงัยก็เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของคุณค่ะ


4 ผักรสขม สรรพคุณและประโยชน์มากล้น

1. สะเดา

ใครจะรู้ว่าทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า "กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้" ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สำหรับเมนูยอดฮิตของสะเดาก็นี่เลยสะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่างอร่อยจนลืมขมไปเลยค่ะ

2. ขี้เหล็ก

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร เช่น วิตามินเอและซีค่อนข้างสูง มีเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน เช่น แกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงขี้เหล็กจะอร่อยก็ต้องมีกะทิใส่ปลาย่างหรือหมูสับ กะทิในแกงขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีกด้วย




3. มะระ

ทั้งมะระจีนและมะระขี้นกในตำรายาไทยบอกว่าเป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย หัวเข่าบวม บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิ มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงระดู แพทย์จีนเชื่อว่ามะระมีพลังของความเย็น ช่วยขับพิษ ช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตาและผิวหนัง แม่บ้านชาวจีน มักจะปรุงอาหารด้วยมะระ ให้คนในครอบครัวรับประทานยามเป็นสิวที่ใบหน้าและร่างกาย เมนูมะระ เช่น ผลอ่อนและยอดอ่อนนำมาลวกต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริก ถ้าราดด้วยน้ำกะทิจะมีรสชาติดีขึ้น ผัดใส่ไข่ แกงกะทิ แกงจืดยัดไส้หมูสับ ส่วนมะระขี้นกมีรสขมกว่ามะระจีน ผลอ่อนนำไปต้มเผากินกับน้ำพริกหรือราดกะทิสดเพิ่มรสชาติ แกงจืดมะระขี้นกยัดไส้หมูสับ พะแนงมะระขี้นกยัดไส้ แกงเผ็ด ผัดกับไข่ ยอดมะระลวกจิ้มน้ำพริกหรือทานกับปลาป่นของชาวอีสาน และนิยมนำใบใส่ลงไปในแกงเห็ดแบบพื้นบ้านจะทำให้แกงมีรสขมนิดๆ กลมกล่อมมาก บ้างนิยมนำใบมาต้มหรือลวกจิ้มน้ำพริก ทางภาคเหนือนิยมนำยอดมะระสดมากินกับลาบหรือนำไปทำแกงคั่ว แกงเลียง และแกงป่า ได้รสน้ำแกงที่ขมเฉพาะตัว

4. ยอ

ผักพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักดีและบริโภคเป็นอาหารมานานทั้งใบและผลยอมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ ลดอาการภูมิแพ้ ช่วยให้การทำงานของเซลล์ในร่างกายเป็นปกติ เป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้คลื่นเหียนอาเจียน ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุ ผู้หญิงควรกินลูกยอที่แก่จัดเพื่อบำรุงเลือดลม ปวดท้องประจำเดือน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ คนโบราณเชื่อว่าถ้าเลือดลมดี ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เป็นสิวฝ้า เราจึงควรหาโอกาสทานอาหารที่มียอเป็นส่วนประกอบเพราะนอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารสูงแล้วยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายเป็นปกติโดยไม่เสียสมดุล เมนูเด็ดใบยอ เช่น แกงใบยอปลาดุก ห่อมกใบยอ แกงอ่อมใบยอ ข้าวยำใบยอ เมี่ยงใบยอ หรือยอดใบยอจิ้มน้ำพริกก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนผลก็ลองนำลูกยอสุกงอมจิ้มเกลือกับน้ำตาลกินหรือบางคนอาจยังไม่เคยทานส้มตำลูกยอ และปัจจุบันก็มีการผลิตน้ำลูกยอขายลองไปหามาชิมดู


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต


ที่มา : http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%82%E0%B8%A1

ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!

ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!

ชุดชั้นในสีดำมีโอกาสเสี่ยงมะเร็งคุณผู้หญิงรู้กันบ้างหรือไม่ค่ะ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) เลยขอนำเรื่องดีๆ ที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงทั้งหลายที่โดยเฉพาะนิยมเลือกซื้อชุดชั้นในสีดำหรือชื่นชอบชุดชั้นในสีดำกันเป็นพิเศษ แล้วยิ่งเป็นชุดชั้นในสีดำที่ไม่น่าเชื่อถือด้วยคุณผู้หญิงยิ่งต้องระวังรู้ไหมค่ะ แม้ว่าชุดชั้นในสีดำจะใส่แล้วดูเซ็กซี่สวยมากเพียงใดแต่ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ถ้าคุณผู้หญิงประมาณกันค่ะ ฉะนั้นแล้ววันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีเรื่องราวของชุดชั้นในสีดำเสี่ยงโรคมะเร็งมาฝากกันในวันนี้ คุณผู้หญิงผู้รักสุขภาพทั้งหลายห้ามละเลยเด็ดขาดเลยนะค่ะ แล้วถ้าไม่อยากเสี่ยงกับโรคมะเร็งที่มาจากชุดชั้นในสีดำสีดำล่ะก็ตามเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มาความรู้จักกับเรื่อง "ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!" กันเลยดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณผู้หญิงกันทุกคนเลยนะค่ะ





คุณรู้หรือไม่ว่า...ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!

จากการศึกษาของนิตยสาร Öko-Test ในประเทศเยอรมนีที่ทำการทดสอบชุดชั้นในสีดำ 25 ตัว พบสารก่อมะเร็ง เนื่องจากชุดชั้นในสีดำบางยี่ห้อมีสารเคมีสีดำในปริมาณสูงซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อมะเร็ง เพราะเมื่อผู้สวมใส่มีเหงื่อออกสารเคมีก็จะตกสีออกมาทำให้ผิวหนังได้รับสารเคมีอันตรายและมันจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้

นอกจากสารเคมีสีดำก็ยังพบสารอันตรายที่ชื่อว่า Diethyhexylpthalate (DEHP) ซึ่งเป็นตัวยึดทรงชุดชั้นใน สารตัวนี้ติดอันดับในรายการสารอันตรายที่ทางสหภาพยุโรประบุไว้ เพราะเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นสารต้องห้ามสำหรับของเด็กเล่นและผลิตภัณฑ์ทารก

แต่สาวๆ ที่มีชุดชั้นในสีดำก็อย่าเพิ่งตกใจจนต้องโยนชุดชั้นในสีดำทิ้ง ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากซื้อชุดชั้นในสีดำมาก็จะต้องซักล้างให้สะอาดเกลี้ยงเกลาก่อนใส่ทุกครั้ง

ขอขอบคุณข้อมูลวิธีการดูแลสุขภาพจาก lisa ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต